มะเร็งตับ [Hepatocellular carcinoma]

มะเร็งตับ [Hepatocellular carcinoma]

มะเร็งตับ [Hepatocellular carcinoma]


     ตับนั้นเป็นอวัยวะที่สำคัญมากของร่างกาย เพราะเป็นอวัยวะที่ช่วยในการกรองสารพิษต่างๆออกจากกระแสเลือดซึ่งหากเรานั้นไม่มีตับ หรือตับทุกทำลายก็จะทำให้ร่างกายเกิดการสะสมสารพิษจนกลายเป็นโรคร้ายต่างๆได้ เช่น มะเร็งตับ มะเร็งตับ หรือ Hepatocellular carcinoma นั้นเป็นมะเร็งที่พบได้บ่อยในผู้ป่วยที่เป็นโรคตับอักเสบเรื้อรังจากไวรัสตับอักเสบ การทานอาหารที่มีเชื้อราอัลฟาท๊อกซิน และตับแข็งเรื้อรัง โดยพบได้บ่อยในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง ในกลุ่มของผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเป็นมะเร็งชนิดนี้ ควรตรวจเลือดดูค่าที่ช่วยบ่งบอกถึงมะเร็ง (AFP) และทำอัลตราซาวด์ตับ เพื่อคัดกรองเป็นระยะๆ ด้วย

     ซึ่งโรคมะเร็งตับนี้ผมมีประสบการณ์ที่ได้พบกับตัวเอง (อันเป็นเหตุให้ผมลุกขึ้นมาทำ blog นี้) ไม่ได้เป็นโรคนี้เองหรอกครับ แต่แม่แฟนของผมที่เป็น เดี๊ยวผมจะมาเล่าในรายละเอียดที่เจาะลึกลงไปในบทความหน้าครับ

อาการของมะเร็งตับ

     ผู้ที่ป่วยเป็นมะเร็งตับที่มีอาการมักจะเป็นมะเร็งที่เป็นมาก อาการของโรคตับมักจะมีอาการเหมือนกับมะเร็งระบบอื่นๆ อาการต่างๆที่พบได้คือ

  • ตับโต แน่นท้องด้านขวาบน บางรายอาจมีอาการปวดร้าวไปที่ไหล่ด้านขวาได้
  • น้ำหนักลด
  • เบื่ออาหาร
  • จุกเสียดแน่นท้อง
  • ปวดท้องตลอดเวลา
  • ท้องบวมขึ้น หายใจลำบาก
  • ตัวเหลือง ตาเหลือง
  • คลำได้ก้อนที่บริเวณตับ
  • อาการผู้ป่วยทรุดลงอย่างรวดเร็ว


การตรวจวินิจฉัย



     เนื่องจากมะเร็งตับเปรียบเหมือนมฤตยูเงียบที่แทบจะไม่มีสัญญาณบอกเหตุให้เราได้รู้เลยว่าเราเป็นมะเร็งตับ ส่วนใหญ่แล้วจะมาตรวจเจอเมื่อเป็นในระยะหลังๆ หรือระยะสุดแล้ว แต่การเฝ้าระวังจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงต่อการที่จะเป็นมะเร็งตับ คือ ผู้ที่เป็นพาหะไวรัสตับอักเสบบี โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุเกิน 40 ปีขึ้นไปและมีอาการตับแข็งร่วมด้วยควรจะต้องตรวจร่างกายอย่างน้อยทุก 6 เดือน

     ซึ่งการตรวจหามะเร็งตับในปัจจุบัน จะมีการตรวจหาระดับของ สารอัลฟาฟิโตโปรตีน (Alfafeto-protein) ซึ่งเป็นสารที่มักพบในผู้ป่วยมะเร็งตับ แต่การตรวจหาค่าอัลฟาฟิโตโปรตีนอย่างเดียวไม่เพียงพอ เนื่องจากมีโอกาสผิดพลาดได้ถึง 30% การตรวจจึงควรจะร่วมกับการทำอัลตราซาวนด์ เพื่อตรวจหาก้อนมะเร็งที่มีขนาดเล็ก ๆ ได้ ถ้าจะให้ละเอียดมากกว่านี้ก็คือ การตรวจโดยใช้เครื่องเอ็กซ์เรย์คอมพิวเตอร์ที่เรียกว่า CT Scan ซึ่งจะสามารถเห็นมะเร็งที่มีขนาดเล็กกว่า 1 เซนติเมตรได้ เพราะการตรวจอัลตราซาวน์นั้นในบางครั้งหรือบางรายอาจจะไม่สามารถมองเห็นตัวมะเร็งตับนี้ได้ ดังนั้นเพื่อความแน่ชัด และชัดเจน ควรที่จะตรวจด้วยการใช้ CT Scan ถึงจะดีที่สุด หากเราไปตรวจแพทย์ก็จะซักประวัติ และตรวจร่างกายแล้วส่งตรวจต่างๆ เพื่อที่จะพิจารณาการรักษาต่อไป


สรุปวิธีการตรวจวินิจฉัยมะเร็งตับมีดังนี้

  1. Ultrasound ใช้คลื่นเสียงผ่านตับเพื่อหาว่ามีก้อนบริเวณตับ หากไม่พบสามารถตรวจด้วย CT Scan
  2. CT scan Scan ตามบริเวณตับและช่องท้องเพื่อหาก้อนเนื้อ
  3. Angiography คือการฉีดสีเข้าเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงตับ แพทย์จะทำในรายเพื่อการวางแผนผ่าตัด
  4. Laparoscope คือส่องกล้องเข้าไปในช่องเพื่อดูว่ามะเร็งแพร่กระจายเข้าท้องหรือยัง เป็นการวางแผนก่อนผ่าตัด
  5. Biopsy คือการนำชิ้นเนื้อที่ส่งตรวจทางพยาธิ ส่วนชิ้นเนื้ออาจใช้เข็มเจาะผ่านทางหน้าท้องไปยังตำแหน่งของก้อน หรือการใช้วิธีการผ่าตัดก็ได้
  6. เจาะเลือดตรวจ alfe-fetoprotein ในรายที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งตับสูง และเพื่อติดตามว่าจะกลับเป็นซ้ำหรือไม่
  7. ตรวจเลือดดูการทำงานของตับ, ไวรัสตับอักเสบ, AFP

การรักษา

 มะเร็งตับดูเป็นโรคที่มีความน่ากลัว เพราะผู้ป่วยมักเสียชีวิตในเวลาอันรวดเร็ว ทั้งนี้ส่วนใหญ่ก็เพราะเมื่อตรวจพบมะเร็งก็มีขนาดใหญ่มากแล้ว อย่างไรก็ตาม หากตรวจพบในระยะแรกๆ ก็มีวิธีที่จะรักษาให้หายขาดได้ เช่น

     1. การผ่าตัดเอาก้อนมะเร็งออก โดยมีเงื่อนไขว่าก้อนมะเร็งนั้นมีขนาดไม่เกิน 2 เซนติเมตร เป็นมะเร็งก้อนเดียว มีเปลือกห่อหุ้ม และอยู่ภายในตับกลีบเดียว วิธีการนี้ถือว่าเป็นวิธีการรักษาที่ดีที่สุดในปัจจุบัน แต่ถ้าหากมะเร็งนั้นมีก้อนขนาดใหญ่ จะไม่สามารถทำการผ่าตัดได้ต้องใช้วิธีให้คีโม หรือฉายแล้วแต่การตัดสินใจของแพทย์แล้วญาติของผู้ป่วย

     2. Transcatheter Oily Chemo-embolization หรือ TOCE ใช้ในกรณีที่ไม่สามารถผ่าตัดเอาก้อนมะเร็งออกได้ เนื่องจากมีขนาดใหญ่เกินไป วิธีรักษาแบบ TOCE นี้มักจะกระทำโดยรังสีแพทย์ โดยการสอดสายขนาดเล็กเข้าไปทางเส้นเลือดแดงตับ เพื่อเข้าไปถึงก้อนมะเร็งโดยตรงเพื่อใส่ยาเคมีเข้าไปที่ก้อนมะเร็ง พร้อมทั้งอุดเส้นเลือดหลักที่เข้าไปเลี้ยงก้อนมะเร็งด้วยในเวลาเดียวกัน วิธีการรักษาแบบนี้ก็ได้ผลอยู่บ้างแต่ไม่สามารถจะรักษาให้หายขาดได้ โดยส่วนใหญ่มะเร็งจะกลับโตขึ้นมาได้อีก หรืออาจแพร่กระจายไปอวัยวะอื่นได้ เช่น ปอดหรือกระดูก ในทางการแพทย์การรักษาโดยวิธีนี้จึงเป็นการรักษาเพื่อยืดเวลา ในบางกรณีเมื่อก้อนมะเร็งมีขนาดเล็กลงและไม่กระจายไปที่อื่นอาจจะผ่าตัดเอาก้อนมะเร็งออกเลยก็ได้

     3. การใช้คลื่นเสียง RFA (Radiofrequency Ablation) เป็นการฉีดแอลกอฮอล์โดยตรงที่ก้อนมะเร็ง เป็นวิธีการทำลายก้อนมะเร็งด้วยการใช้เข็มแบบพิเศษ (RF needle) ขนาดเท่ากับไส้ปากกาลูกลื่น ความยาวประมาณ 15 เซนติเมตร แทงผ่านผิวหนังเข้าไปในก้อนมะเร็งเป้าหมาย โดยใช้หลักการเหนี่ยวนำไฟฟ้าจากเครื่อง ทำให้เกิดคลื่นความถี่สูงประมาณ 375-500 KHz จะทำให้โมเลกุลของเนื้อเยื่อรอบๆ เข็มสั่นสะเทือนและเสียดสีกันจนเกิดความร้อน (Friction heat) ซึ่งจะแผ่กระจายออกไปรอบๆ จนครอบคลุมก้อนมะเร็งทั้งก้อน จากการศึกษาพบว่าความร้อนที่มากกว่า 50 องศาเซลเซียส สามารถทำให้เซลล์ตายได้ ก้อนมะเร็งที่ได้รับการรักษาจะเปรียบเสมือนเนื้อย่าง ซึ่งในต่างประเทศใช้วิธีการรักษามะเร็งตับ RFA นี้กันมานานประมาณ 12 ปีแล้ว ส่วนในประเทศไทยเริ่มใช้กันมา ประมาณ 3-4 ปี ที่ผ่านมานี้เอง แต่อย่างไรก็ตาม วิธีการรักษาเหล่านี้ล้วนเป็นการรักษาแบบประทังทั้งสิ้น

     4. การเปลี่ยนตับ ปัจจุบันแพทย์ไทยก็สามารถปลูกถ่ายตับได้ แต่สำหรับผู้ป่วยโรคมะเร็งมักมีข้อจำกัดมากมาย ทำให้การเปลี่ยนถ่ายตับมักไม่ใช่คำตอบสุดท้ายในการรักษา

     5. การฉายรังสี วิธีการนี้ไม่ค่อยได้ผล เนื่องจากตับที่ดี มักมีผลเสียจากฉายรังสี



2 ความคิดเห็น:

  1. เพิ่มพลังชีวิตใหม่ต่อต้านโรคร้าย ด้วยพลังคอสมิก.....รักษามะเร็งระยะสุดท้าย ไม่เห็นผลยินดีคืนเงิน ติดต่อคุณรสริน line id: jakcosmic

    ตอบลบ
  2. รักษาบรรเทาอาการโรคร้าย เช่น อาการเจ็บปวดจากโรค อาการป่วยรุนแรงระยะสุดท้าย สามารถทดลองการรักษาได้โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายเห็นผลการรักษา(อาการดีขึ้น) ภายใน 7 วัน ติดต่อคุณรสริน line id : jakcosmic และ line id : jakcosmic999

    ตอบลบ